ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สถาบันคุ้มครองเงินฝากพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นผู้ฝากเงิน

สถาบันคุ้มครองเงินฝากเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นผู้ฝากเงิน ชีพัฒนาแผนยุทธศาสตร์มุ่งมั่นพัฒนาระบบปฏิบัติการจ่ายคืนผู้ฝาก และระบบการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ต่อเนื่อง      แจงล่าสุดดูแลผู้ฝากเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองกว่า 70 ล้านราย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แถลงผลการดำเนินงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝากในปี 2559 ที่ผ่านมา และแผนการดำเนินงานในปี 2560 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

 

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2559 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2560

เศรษฐกิจไทยปี 2559 ขยายตัวร้อยละ 3.2ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชน การส่งออกสินค้าและบริการ ที่ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน ขณะที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูง 

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2560 สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่าจะขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นที่
ร้อยละ 3.6 (ช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.1 – 4.1จากแรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุน รวมทั้งแนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นซึ่ง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน  

 

เสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินในปี 2559

ระบบสถาบันการเงินยังคงมีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่ง ณ สิ้นปี 2559 สถาบันการเงินทั้งระบบมีฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่ง และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการจัดสรรกำไรเป็นสำคัญ โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 18.05 จากร้อยละ 17.44 ในปีก่อน และอัตราส่วนเงินกองทุน    ชั้นที่ 1 (Tier-1 Ratio) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15.08จากร้อยละ 14.60 ในปีก่อน สำหรับการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ตามเกณฑ์ Basel III อยู่ที่ร้อยละ 175.19โดยธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งมี LCR สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนดที่ร้อยละ 60 อยู่มาก 

สำหรับสินเชื่อรวมของระบบสถาบันการเงิน (รวมสินเชื่อระหว่างธนาคารและตลาดเงิน) ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวน 13.64 ล้านล้านบาท โดยขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 3.11 เทียบกับปี 2558 ที่ขยายตัวได้ร้อยละ 2.71 สำหรับสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) อยู่ที่ร้อยละ 2.83 จากร้อยละ 2.56 ในปีก่อน ขณะที่เงินสำรองสินเชื่อยังอยู่ในระดับสูง คิดเป็ร้อยละ 136.47 ของสินเชื่อที่         ไม่ก่อให้เกิดรายได้  ดังนั้น แม้ว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น แต่สถาบันการเงินได้มีการตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะรองรับคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง 

สำหรับเงินฝาก ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 12.61 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.44จากสิ้นปี 2558 และในปี 2559 สถาบันการเงินมีกำไรสุทธิจำนวน 1.99 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 3.60 เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ย 

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์สถาบันการเงินในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย (ธพ.ไทย) ทั้งกลุ่ม ธพ. ไทย       ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ก็มีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) และมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทยเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ตามเกณฑ์ Basel III สูงกว่าเกณฑที่ ธปท. กำหนดอยู่มาก

 

เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง

ณ สิ้นปี 2559 สถาบันการเงินที่อยู่ในความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีจำนวน 35 แห่ง โดยมีจำนวนผู้ฝากเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองเงินฝากรวมทั้งสิ้นประมาณ 70.93 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินฝากในระบบกว่า 11.9 ล้านล้านบาท โดยเงินฝากที่อยู่ในวงเงินคุ้มครองไม่เกิน 15 ล้านบาท ต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน จำนวน 70.85 ล้านราย หรือคิดเป็นร้อยละ 99.90 ของผู้ฝากเงินทั้งระบบอย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงวงเงินคุ้มครองจาก 25 ล้านบาท เป็น 15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 โดยรวมแล้วไม่มีสัญญาณการโยกย้ายเงินฝากออกจากระบบสถาบันการเงิน

 

ฐานะของกองทุนคุ้มครองเงินฝากปี 2559

กองทุนคุ้มครองเงินฝาก ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวน 116,596 ล้านบาท โดยสถาบันลงทุนทั้งหมดในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก กฎกระทรวง และนโยบายการลงทุนที่กำหนดการลงทุนของสถาบันเน้นลำดับความสำคัญ คือ ความมั่นคง สภาพคล่อง และผลตอบแทน  โดย ณ สิ้นปี 2559 มีการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย เงินฝากธนาคารแห่งประเทศไทย ตราสารหนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออก และการฝากเงินกับธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น 

 

ผลการดำเนินงานตามแผนงานของสถาบันปี 2559

สำหรับปี 2559 คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 ได้มีมติที่สำคัญ 2 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ  การคุ้มครองเงินฝาก ได้แก่ 

1. การขยายระยะเวลาที่จะบังคับใช้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท จากเดิมบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2559 เลื่อนเป็นตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2563 โดยมีการทยอยปรับวงเงินคุ้มครองเป็นลำดับขั้น   ซึ่งช่วยสนับสนุนความมั่นใจและเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นและ     ทำให้ผู้ฝากเงินมีระยะเวลาในการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่จะบริหารจัดการเงินฝาก และเงินลงทุนอย่างเหมาะสม
2. การแก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 เกี่ยวกับขั้นตอนกระบวนการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงิน โดยประเด็นสำคัญ คือ การกำหนดให้สถาบันจ่ายคืนเงินแก่ผู้ฝากทุกรายภายใน 30 วันนับแต่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยที่ผู้ฝากไม่ต้องมายื่นคำขอรับเงิน ซึ่งจะช่วยอำนวย   ความสะดวกให้แก่ผู้ฝากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กระบวนการแก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ก่อนเสนอ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

 

เพื่อให้การสนับสนุนและรองรับกับนโยบายของภาครัฐซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้ฝากเงิน สถาบันได้มุ่งดำเนินการที่สำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านแรก คือ ด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ สถาบันได้เดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน และร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง จัดสัมมนาให้ความรู้ด้านการคุ้มครองเงินฝากในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงประสานกับสถาบันการเงินสมาชิกในการเผยแพร่ข้อมูลการคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งได้รับผลตอบรับจากประชาชนผู้ฝากเงินเป็น   อย่างดี โดยประชาชนมีความเข้าใจและความเชื่อมั่นกับการคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้    เพื่อพัฒนาการเสริมสร้างความรู้ด้านการคุ้มครองเงินฝาก สถาบันได้มีการสำรวจการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อสถาบันและระบบคุ้มครองเงินฝาก เพื่อนำผลมาพัฒนากระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจและประสิทธิภาพงานด้านการสื่อสารต่อไป 

ด้านที่สอง ้านการจ่ายคืนผู้ฝาก สถาบันมุ่งให้ความสำคัญกับภารกิจนี้เป็นอย่างยิ่ง พื่อพัฒนาให้การจ่ายคืนผู้ฝากมีความสะดวกและรวดเร็ว โดยมีการพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝากซึ่งเป็นการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงานของกระบวนการจ่ายคืนเงินผู้ฝากเมื่อสถาบันการเงิน        ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งช่วยให้กระบวนการจ่ายคืนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว 

 

นอกจากการดำเนินการเพื่อรองรับและสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ สถาบันได้ดำเนินงานด้านที่สำคัญอื่นๆ สำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

1. ด้านการชำระบัญชี เพื่อให้การเตรียมความพร้อมในการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูก         ปิดกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ สถาบันได้พัฒนากระบวนการด้านการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์อย่างครบถ้วน และพร้อมในการปฏิบัติงานตามพันธกิจ นอกจากนี้ สถาบันยังมี        การทบทวนและปรับปรุงจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานของสถาบันในช่วงที่สถาบันการเงิน         ถูกควบคุม ช่วงการจ่ายคืน และช่วงการชำระบัญชีให้พร้อมใช้งานเมื่อเกิดเหตุการณ์  
2. ด้านการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก สถาบันได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 สถาบันได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือกับสถาบันประกันเงินฝากประเทศเกาหลีใต้ (KDIC) แลต่ออายุบันทึก    ความร่วมมือกับกองทุนปกป้องผู้ฝากเงินสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 
3. ด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์กรสถาบันได้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ครบถ้วนเพียงพอ มีการพัฒนาระบบการตรวจสอบให้ครบถ้วนตามมาตรฐานสากล เพื่อให้      การบริหารงานของสถาบันเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการที่ดี และมี       การรักษาและพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมเพื่อปฏิบัติงานตามพันธกิจ 

 

ยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานที่สำคัญของสถาบันปี 2560 

ในปี 2560 สถาบันมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบจ่ายคืนผู้ฝากและชำระบัญชีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มช่องทางการสื่อสารประชาสัมพันธ์แก่ผู้ฝากเงิน สถาบันการเงิน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในตาข่ายความมั่นคงทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

1.ด้านกาจ่ายคืนผู้ฝาก  สถาบันเดินหน้าพัฒนาระบบจ่ายคืนผู้ฝากให้ดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

โดยจัดให้มีการประมวลผลข้อมูลรายผู้ฝากเพื่อการจ่ายคืนของสถาบันการเงินทุกแห่งได้อย่างรวดเร็วและพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก ซึ่งนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการจ่ายคืนแก่ผู้ฝากให้  แล้วเสร็จ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฝากได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการจ่ายคืน 

2. ด้านการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ เพื่อให้การบูรณการการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 2560สถาบันจะดำเนินการทบทวนและปรับปรุงนโยบายชำระบัญชี กรอบแนวทางที่จะนำไปจัดทำแผนและคู่มือปฏิบัติการในการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ รวมถึงกระบวนการในการทำงาน และคู่มือปฏิบัติงานด้านการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ ตั้งแต่สถาบันการเงินถูกควบคุม จนถึงสถาบันการเงินเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย นอกจากนี้ สถาบันจะจัดทำแนวทาง    การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สำหรับงานด้านการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ เพื่อให้   การดำเนินการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกปิดเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 

3. ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ สถาบันยังคงเดินหน้าเพิ่มระดับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อระบบคุ้มครองเงินฝากอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เกี่ยวกับการคุ้มครอง

เงินฝากที่เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

4. ด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์กรสถาบันจะพัฒนาการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อป้องกันและปิดช่องโหว่ของ IT Architecture จาก

ภัยคุกคามไซเบอร์ (Cyber-security risk assessment) รวมทั้งการมุ่งมั่นสร้างบุคลกรที่มีความสามารถ     โดยปี 2560 สถาบันมุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรและสร้างความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรให้เพิ่มขึ้นต่อไป 

 

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองเงินฝาก ได้ทางศูนย์บริการ

ข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร.1158 และศึกษาข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ www.dpa.or.th


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมจัดมอบรางวัล "Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12

ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมจัดมอบรางวัล "Bai Po Business Awards by Sasin ครั้งที่ 12 เพื่อยกย่องผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่สร้างและพัฒนาธุรกิจได้อย่างโดดเด่นในมิติต่างๆ   นางพิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดลูกค้าธุรกิจขนาดย่อมและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมเสวนากับผู้ได้รางวัลทั้ง 5 ท่านในหัวข้อ "SMEs Step Up for Thailand 4.0" ได้แก่ นายสาธิต ก่อกูลเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพมโก้ อินเตอร์ไลท์ จำกัด  นายสุรเดช นิลเอก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรอปิคานา ออยล์ จำกัด นายทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด นายพิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด นายสุจินต์ ทรัพย์ล้อม ประธานกรรมการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เจ แอนด์ เจ แวร์เฮ้าส์ แอนด์ เซอร์วิส             แสดงวิสัยทัศน์หัวข้อ "SMEs Step Up for Thailand 4.0" โดย นายแพทย์วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ...

" บบส. ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด ลงนามเซ็นสัญญารับมอบสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจาก ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) "

คุณทวี กุลเลิศประเสริฐ (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการบริษัท  บริหารสินทรัพย์  ไนท คลับ  แคปปิตอล  จำกัด ลงนามเซ็นสัญญารับมอบสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของกิจการขนาดใหญ่และขนาดกลางมูลค่าทางบัญชี 661 ล้านบาท กับธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  TMB   โดยมีคุณเฉิดประภา ฉลาดสุนทรวาที (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯฝ่ายพัฒนาสินทรัพย์ และคุณระบิล  พรพัฒน์ กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯฝ่ายบริหารความเสี่ยง ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามรับมอบสัญญาซื้อขายเมื่อเร็วๆนี้

ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดตัวกองทุนรวมในต่างประเทศสำหรับลูกค้าธนบดี

ธนาคารพาณิชย์รายแรกนำเสนอบริการการซื้อขายกองทุนรวมในต่างประเทศ สำหรับลูกค้า ธนบดี   กรุงเทพฯ  –  ธนาคาร ซิตี้ แบงก์   เปิดตัวบริการ การ ซื้อขายกองทุน รวม ใน ต่างประเทศ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย  สำหรับลูกค้า ธนบดี ที่ต้องการบริหารจัดการความมั่งคั่ง  และ เพิ่มโอกาสการกระจายความเสี่ยงของการลงทุน ให้เหมาะ สม กับวัตถุประสงค์ของลูกค้า  เพื่อโอกาสได้รับ ผลตอบแทน ตามเป้าหมายที่กำหนด   โดย บริการ การ ซื้อขายกองทุน รวม ใน ต่างประเทศ นี้ จะทำให้ลูกค้า ได้ รับรู้สถานการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของ ประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั่วโลก  และโอกาสในการลงทุน ในสินทรัพย์ หลาก หลายประเภท  ในหลายสกุลเงิน  รวมไปถึงการลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลก ซึ่งเป็นบริการ สำหรับ       นักลงทุนรายย่อยผ่านธนาคารซิตี้ แบงก์ เป็นรายแรก   ในเบื้องต้น  ธนาคาร ซิตี้ แบงก์  ประเทศไทยได้ร่วมมือกับตัวแทน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ที่เข้าร่วมในบริการการซื้อขายกองทุนรวมในต่างประเทศนี้ ทั้งหมด  5  ราย ได้แก่ แบล็คร็อค ...